วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ตั้งเวลา reboot shutdown ด้วย crontab บน CentOS /Elastix/ClearOS

crontab บน Linux
====================
 คำสั่ง crontab เป็นคำสั่งในการทำ schedule ในการสั่งโปรแกรม หรือ script ต่างๆ ทำงานตามเวลาที่กำหนด บนระบบ UNIX/LINUX
ซึ่งอำนวยความสะดวกได้มากเลยที่เดียว งานบางอย่างที่จำเป็นต้องทำซ้ำๆในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือ ทุกเดือน
การใช้งาน crontab
------------------------
คำสั่งและ option ของ crontab มีดังนี้
Code:
crontab filename        การนำเอาคำสั่ง crontab เข้ามาจาก ไฟล์อื่น
crontab -e                    แก้ไข crontab ปัจจุบัน
crontab -l                    ดูคำสั่ง crontab ทั้งหมดที่มีอยู่
crontab -r                   ลบคำสั่ง crontab ที่มีทั้งหมด
crontab -u user            เป็นคำสั่งของผู้ดูแลระบบเท่านั้น(administrators) เพื่อใช้ดู  แก้ไข ลบ crontab ของ user แต่ล่ะคน

 เมื่อเรียกคำสั่งตามข้างบนแล้ว crontab จะเข้าสู่ระบบการ กำหนด หรือ แก้ไข ซึ่งการ กำหนด หรือแก้ไขนี้ จะเหมือนกับการใช้งาน vi ครับ
ถ้าใครเคยใช้งาน vi แล้วก็จะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไม่เคยใช้ ก็ดูคำสั่งพื้นฐานของ vi ด้านล่างนะครับ
เมื่อเรียกโปรแกรม crontab ให้ทำงานและขณะอยู่ในโปรแกรม เราสามารถกดคีย์ ดังต่อไปนี้เพื่อ
Code:
    Esc     เพื่อออกมาสู่โหมดปกติ
    i         เพื่อการเพิ่ม คำสั่ง ข้อความ เข้าไปใหม่
    x        ลบ ตัวอักษรที่ cursor  วางอยู่ ทีละอักษร ในโหมดปกติ
    dd      ลบบรรทัด ทั้งบรรทัด ที่ cursor วางอยู่ทีละแถว ในโหมดปกติ
   :q!      ออกโดยไม่ต้องแก้ไขอะไร
   :wq!    เก็บบันทึกข้อความที่แก้ไขแล้วออกจากโปรแกรม
 คำสั่งเหล่านี้เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น แต่ก็พอใช้งานคำสั่ง crontab แล้วล่ะครับ ถ้าใครอยากได้มากกว่านี้ต้องศึกษาเพิ่มเอาอีกที
การกำหนดให้ crontab ทำงาน
-------------------------------------
format ของคำสั่ง crontab มีทั้งหมด 6 fields เป็นดังบรรทัดข้างล่าง
Code:
minute(s) hour(s) day(s) month(s) weekday(s) command(s)
fields 1-5 เป็นการกำหนดเวลา และ field ที่ 6 เป็นการกำหนดคำสั่ง ดังความหมายของแต่ละ fields ดังต่อไปนี้
Code:
........................................................................................................................................
Field                มีค่า       รายละเอียด
........................................................................................................................................
minute               0-59          เวลาเป็นนาที จะสั่งให้คำสั่งที่กำหนดทำงานทันทีเมื่อถึง
hour                0-23          เวลาเป็นชั่วโมง จะสั่งให้คำสั่งที่กำหนดทำงานทันทีเมื่อถึง
day                1-31          เวลาเป็นวัน จะสั่งให้คำสั่งที่กำหนดทำงานทันทีเมื่อถึง
month               1-12          เวลาเป็นเดือน จะสั่งให้คำสั่งที่กำหนดทำงานทันทีเมื่อถึง
weekday          0-6         วันของแต่ละสัปดาห์ มีค่าดังนี้ (อาทิตย์ = 0, จันทร์ = 1, อังคาร = 2, พุธ = 3, พฤหัส = 4, ศุกร์ = 5 และ เสาร์ = 6)
command       คำสั่ง          เราสามารถกำหนดคำสั่งได้มากมาย รวมทั้ง script ต่างๆ ตามที่เราต้องการ      
.........................................................................................................................................

ตัวอย่างการกำหนด crontab
---------------------------------
 การ เพิ่ม crontab โดยเรียกใช้คำสั่ง crontab -e เมื่อเข้าสู่โปรแกรมแล้ว กด i เพื่อเพิ่ม คำสั่งดังตัวอย่างด้านล่างนี้เข้าไป แล้วทำการบันทึก
แล้วออกมาโดยกด Esc แล้วกด :wq!
Code:
0 2 * * * /sbin/shutdown -r now
จากคำสั่งด้านบนจะเป็นการสั่งให้ reboot เครื่อง เวลา 2:00 น. ของทุกๆวัน
Code:
0 23 * * * /sbin/shutdown -h now
จากคำสั่งด้านบนจะเป็นการสั่งให้ shutdown เครื่อง เวลา 23:00 น. ของทุกๆวัน

Code:
0 0 * * 1 /home/tuxzilla/getlogs.pl
จากคำสั่งด้านบน จะทำการ Run script getlogs.pl ที่ path /home/tuxzilla ทุกวันจันทร์ ทุกๆเดือน ตอนเที่ยงคืน
Code:
0 0 * * 1,5 /home/tuxzilla/getlogs.pl
 คำสั่งนี้เหมือน คำสั่งด้านบนครับ แต่จะเพิ่มการทำงานในวันศุกร์ด้วย ซึ่งเราสามารถใช้ "," คั่นไปเรื่อยๆได้ เพื่อที่จะกำหนดเพิ่มให้แต่ล่ะ fields หรือใช้ "*"
เพื่อการกำหนดเป็นทั้งหมด(หมายความว่า หากที่ field ชั่วโมง เป็น * ก็หมายความว่าต้องทำงานทุกชั่วโมง)
 ถึงจะมีหลาย user ในเครื่องเดียวกันแต่ยังไง crontab ก้ยังเป็นของใครของมันไม่กวนกันครับ และไม่สามารถดูของกันและกันได้ นอกจากเป็น
ผู้ ดูแลระบบครับ ถึงตรงนี้แล้วก็คงไม่มีอะไรยากเกินกว่าแล้ว หากแต่ความสะดวกเท่านั้นที่จะมาแทนที หรือใครจะเอามาเป็นนาฬิกา อย่างผมก็ไม่ว่าครับ
คำสั่งเพิ่มเติมที่ควรรู้
------------------------
man crontab
man cron
man at
man batch[/u]
หลังจาก แก้ไข crontab แล้ว ก็สั่ง restart cron โดยใช้
service crond restart


ที่มา:http://itweb.lib.ru.ac.th/webboard/00255.html

วิธี set iptables บน linux แบบง่ายๆ

ACCEPT = ยอมให้ผ่าน
DROP = ไม่สนใจแพ็กเกต
REJECT = ไม่สนใจเหมือนกัน แต่ จะแจ้งให้ เราทราบ
 
 
iptables -t nat -A POSTROUTING -s 192.168.0.0/24 -j ACCEPT
iptables -A OUTPUT -p tcp -s 192.168.0.0/24 -j DROP
iptables -A OUTPUT -p tcp -d 192.168.0.0/24 -j DROP
 
 
#### ถ้าต้อง การให้ firwall ปล่อยให้ port ไหน ผ่าน ให้ เปลี่ยน ตัวเลขของ port
 
iptables -A FORWARD -p tcp -s 192.168.0.0/24 --destination-port 80 -j ACCEPT
 
iptables -A FORWARD -p tcp -d 192.168.0.0/24 --destination-port 80 -j ACCEPT
 
 
#### Block MSN
iptables -A INPUT -p tcp -s 192.168.0.0/24 --destination-port 1836 -j DROP
iptables -A INPUT -p tcp -d 192.168.0.0/24 --destination-port 1836 -j DROP
iptables -A FORWARD -p tcp -s 192.168.0.0/24 --destination-port 1836 -j DROP
iptables -A FORWARD -p tcp -d 192.168.0.0/24 --destination-port 1836 -j DROP

ทำ hiren usb ด้วย ubuntu 2in1

สำหรับ ใครที่ใช้ทั้ง ubuntu และ windows ในเครื่องเดียวกัน นอกจากการใช้สื่ออย่าง dvd หรือแผ่น cd แล้ว เดี๋ยวนี้สิ่งที่นิยมมากก็คือการลง OS จาก USB ไดร์ เพราะเดี๋ยวนี้ทั้งราคาถูกและความจุก็มากขึ้นด้วย โดยปกติผมจะมี usb ที่เป็น hiren ซึ่งมีเครื่องมือในการช่วยเหลือต่างๆ ในการจัดการเกี่ยวกับการซ่อมแซมดูและคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งพาร์ทิชั่น การ format การ Ghost หรืออื่นๆ อีกเยอะแยะมาก และผมก็มี usb อีกแท่งหนึ่ง ทำไว้เพื่อเอาไว้ลง ubuntu ครับ แต่วันนี้ผมมีวิธีที่จะเอาทั้งสองมารวมใน usb เดียวกันเลย จะได้สามารถใช้ได้ทั้ง hiren และ ubuntu install ได้ด้วย ไม่เปลืองและง่ายด้วย



อันดับแรกสิ่งที่คุณต้องมีคือ
1.usb drive ขนาดซัก 2gb จริงๆแค่ 1gb ก็เพียงพอครับ แต่สำหรับ linux บาง distro มีขนาดใหญ่มากอาจไม่พอ
2.ไฟล์ของโปรแกรม Hiren
3.เครื่องคอมที่ลง ubuntu ไว้หรือจะเป็น Linux ตัวอื่นก็ได้ครับ แต่ขอให้มี usb-create ก็พอ
4.ไฟล์อิมเมจของ ubuntu ที่เป็น .iso หรือจะเป็น cd สำหรับติดตั้ง ubuntu ก็ได้

มาเริ่มทำกันเลยดีกว่า
ถ้า Linux ของคุณไม่มี usb-create คุณสามารถติดตั้งได้ผ่าน Snaptic Package Manager แล้ว search หาจากคำว่า usb-create ครับ ถ้าเครื่องคุณมีแล้วจะได้ดังรูป ให้เปิดโปรแกรม usb-create ได้เลย


เปิด มาก็ได้หน้าตาแบบนี้ ในช่อง source disc image ให้ mount ไปที่ไฟล์ .iso หรือที่ cd ที่ใส่ไว้ในเครื่องครับ แล้วข้างล่างให้เลือกที่ usb ที่เราเสียบเอาไว้ แล้วกด make startup disk ได้เลย จากนั้นก็รอไปเลยครับอาจใช้เวลานานหรือช้าขึ้นอยุ่กับขนาดของ iso และความเร็วของเครื่อง

 

พอคุณทำเสร็จ จากนั้นให้คุณโหลด Grub มาลงไว้ใน usb ที่ใช้ทำในครั้งนี้ครับ ซึ่งจะมีสองไฟล์คือไฟล์ Grub.exe กับไฟล์ menu.lst  ดาวน์โหลด Grub-hiren.exe จากนั้นก็เอาไฟล์ hiren มาใส่ไว้ใน usb ด้วยครับ


พอเอาไฟล์ hiren ใส่ใน usb เสร็จ ให้คุณเข้าไปใน usb แล้วหาไฟล์นี้ \syslinux\menu.cfg ครับ แล้วเพิ่มสองบรรทัดนี้ลงเข้าไป
label Load ^Grub with Hiren's Utilities
KERNEL /grub.exe

จริงๆ แล้ววิธีนี้สามารถทำได้กับ Linux ในสายพันธ์เดียวกับ ubuntu ได้หมดครับ เช่น linux mint หรือจะเป็นอย่างอื่น แต่ว่าในขึ้นตอนการแก้ไฟล์ menu.cfg บางทีอาจมีชื่ออื่นครับ ถ้าคุณใช้ ubuntu คุณจะเจอไฟล์ดังกล่าวแน่ๆ แต่ถ้า .iso ที่คุณทำเป็นของยี่ห้ออื่นเช่น linux mint คุณอาจเจอไฟล์อื่น แต่มันจะอยู่ใน \syslinux ครับ

ตัวอย่างข้อความในไฟล์ menu.cfg จะได้อ้างอิงได้เผื่อไฟล์ชื่อไม่เหมือนกัน
menu hshift 13
menu width 49
menu margin 8
label Load ^Grub with Hiren's Utilities < นี่คือสองบรรทัดที่เพิ่มเข้าไป
KERNEL /grub.exe
menu title Installer boot menu
include stdmenu.cfg
include text.cfg
include amd.cfg
include gtk.cfg
include amdgtk.cfg
menu begin advanced
menu title Advanced options
label mainmenu
menu label ^Back..
menu exit
include stdmenu.cfg
include adtext.cfg
include adamd.cfg
include adgtk.cfg
include adamdgtk.cfg
menu end
label help
menu label ^Help
config prompt.cfg

พอ เสร็จแล้วก็ให้บูตเครื่องแล้วตั้งให้ first boot เป็นที่ usb ได้เลยครับ ทีนี้คุณก็จะสามารถเลือกได้ทั้ง hiren และติดตั้ง ubuntu ได้ด้วย สะดวกสุดๆ ไปเลยครับ เสียเวลาหน่อยแต่คุ้มค่า


 

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

เคยมั๊ย เมื่อ Flash Drive โดนไวรัส กำจัดไวรัสไปได้แล้ว แต่ Folder ต่างๆ ยังคงถูกซ่อนไว้ เรามาแก้ไขง่ายๆ ด้วยคำสั่ง DOS กันเถอะ




เป็นภาพจาก: katomnoy.com/information/hardware.html

เมื่อเสียบ Flash Drive แล้ว ก็ติดเชื่อไวรัสตัวหนึ่ง ซึ่งได้ทำการซ่อน Folder ใน Flash Drive หลังจากได้ทำการ Clean ไวรัสเรียบร้อยแล้ว แต่ Folder ที่ถูกซ่อนก็ไม่สามารถเรียกคืนได้ ไปกำหนด Folder Options ให้ View แบบ Show hidden files and folders แล้ว ก็ไม่สามารถกำหนด Properties เพื่อแก้ hidden ออกได้ ได้ลอง search หาวิธีการแก้ทางอินเทอร์เน็ต จึงได้ไปพบความรู้การแก้ด้วย DOS จากเว็บ http://gotoknow.org/blog/a-pawn/180830 ขอขอบคุณมากๆ และขออนุญาตนำความรู้ดังกล่าว มาอธิบาย ขยายความเพิ่มเติมนะคะ
 วิธีการแก้ Hidden Folder ด้วยคำสั่ง DOS มีดังนี้
  1. คลิก start  -->  run
  2. พิมพ์คำสั่ง  cmd  แล้วกด enter หรือคลิก OK
  3. พิมพ์  f:  (เมื่อ Flash Drive เป็นไดร์ f:)
  4. พิมพ์คำสั่ง  attrib -s -h -r /S /D  (สั่งยกเลิกการซ่อน Folder ทั้งหมด) หรือ พิมพ์  attrib -s -h -r /S /D ตามด้วยชื่อ Folder ที่ต้องการยกเลิกการซ่อน (กรณีสั่งยกเลิกทีละ Folder)
ภาพประกอบที่ 1  start  -->  run  --> cmd  --> OK
ภาพประกอบที่ 2 พิมพ์คำสั่ง  attrib -s -h -r /S /D แล้ว Enter

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

[บทความ] อัพ iOS 7 แล้ว มีอะไรที่เราต้องปรับตัวบ้าง

ios7

หลังจากที่แอปเปิลได่ปล่อย iOS 7 ให้ได้อัพเดทกันแล้ว หลายคนคงได้อัพกันไปแล้ว หรือหลายคนอาจจะยังชั่งใจอยู่ว่าจะอัพดีหรือไม่ดี วันนี้เราจึงขอนำเสนอบทความเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องปรับตัวเมื่อใช้ iOS 7 ครับ
อย่างที่ทางแอปเปิลได้บอกในงานเปิดตัว iOS 7 ไปแล้วว่า iOS 7 นั้นจะเป็น iOS ที่เปลี่ยนแปลงหน้าตาไปทั้งหมด แต่ยังคงการใช้งานต่างๆ ให้เหมือนเดิม โดยไม่จำเป็นต้องศึกษาวิธีการใช้งานใหม่หมด แต่ iOS 7 ก็ยังคงมีจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ต่างจากเดิม วันนี้เราจะมาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง
ต้องบอกกันก่อนว่าสามารถดูความสามารถทั้งหมดที่เพิ่มเข้ามาของ iOS 7 ได้ที่หน้าเว็บของ Apple ครับ แต่ในบทความนี้เราขอนำสิ่งที่คิดว่าผู้ใช้น่าจะยังไม่คุ้นเคย หรืออาจจะยังไม่รู้ของ iOS 7 มานำเสนอกันครับ
 

ใช้ Control Center เพื่อเปลี่ยนเพลงแทนดับเบิ้ลคลิกปุ่มโฮม

หลายคนคงคุ้นเคยกับการดับเบิ้ลคลิกปุ่มโฮมเพื่อเปลี่ยนเพลง หรือปรับความดังของลำโพงใช่ไหมครับ ซึ่งเป็นหน้าเดียวกับการกดมาเพื่อสลับแอพ แต่ใน iOS 7 ได้เปลี่ยนเอาการตั้งค่าต่างๆ มาไว้รวมใน Control Center แล้ว เพียงแค่ลากนิ้วขึ้นมาจากด้านล่าง ก็จะสามารถเปลี่ยนเพลง ปรับความสว่างหน้าจอ ปรับความดังลำโพง รวมถึงยังเป็นเมนูลัดตั้งค่าเกี่ยวกับ Wifi, Bluetooth, Flight Mode ฯลฯ
photo1


ลบแอพไฟฉายทิ้งไปได้เลย

นอกจาก Control Center จะสามารถเป็นเมนูลัดสำหรับตั้งค่าแล้ว ยังมีปุ่มให้เปิดแฟลชใช้เป็นไฟฉายได้ด้วย คราวนี้ก็ไม่ต้องลงแอพเพิ่มเพื่อเปิดไฟฉายแล้วครับ แถมยังเรียกใช้งานสะดวกมากๆ เพราะสามารถลากนิ้วจากด้านล่างของจอเพื่อเปิด Control Center จากหน้าไหนก็ได้
IMG_0885


ปุ่มโพส Facebook และ Twitter ใน Notification Center หายไป

 สำหรับใครที่เคยทวีตข้อความ หรือโพสสเตตัสในเฟสบุคโดยการลากแถบ Notifications ลงมา ต้องแสดงความเสียใจด้วยครับ เพราะใน iOS 7 นั้นได้ตัดปุ่มทวีตกับโพสสเตตัสออกไปแล้ว ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมจึงถึงได้ถูกตัดออกไป และจะนำกลับมาหรือไม่
IMG_0899


Notification Center มีแท๊บแล้ว

จากเดิมที่ Notification Center จะเป็นหน้ายาวๆ มีหน้าพยากรณ์อากาศอยู่ด้านบน มีทั้งปฏิทินแสดงวันเกิดเพื่อน มีแสดงหุ้น แล้วถึงค่อยแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งต้องสไลด์ลงมาบ้างจึงจะเห็นทั้งหมด ใน iOS 7 ได้แบ่ง Notification Center ออกเป็นส่วนๆ แล้วครับ มีแท็บ Today ที่จะบอกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งแสดงวันที่/นัดหมาย/พยากรณ์อากาศ แท็บถัดมาจะเป็นการแจ้งเตือนต่างๆ ของเราโดยเฉพาะครับ และแท็บท้ายสุดจะเป็นการแจ้งเตือนที่เราพลาดไม่ได้อ่าน ซึ่งแต่ละแท็บสามารถปัดนิ้วซ้ายขวาเพื่อเลื่อนไปมาระหว่างแท็บได้ด้วยครับ
IMG_0888


ปิดแอพไม่ต้องจิ้มค้าง แต่ใช้นิ้วปัดทิ้งแทน

ใครที่ลองดับเบิ้ลคลิกปุ่มโฮม จะสังเกตได้ว่าหน้าตาดูแอพที่เปิดล่าสุดเปลี่ยนไป จากเป็นไอค่อนเรียงกันด้านล่างธรรมดา กลายมาเป็นมีหน้าต่างแสดงหน้าตาแต่ละแอพที่เปิดไว้ด้วย แล้วถ้าต้องการปิดแอพนั้นทำอย่างไรหล่ะ? จิ้มค้างไว้ก็ไม่มีปุ่มปิดขึ้นมา? วิธีปิดแอพให้เอานิ้วจิ้มที่หน้าต่างแอพนั้นๆ แอพปัดทิ้งไปทางด้านบนได้เลยครับ (หน้านี้จะเหมือนกับหน้าที่แสดงแอพที่เปิดล่าสุด บางแอพที่แสดงอยู่ในหน้านี้อาจจะไม่ได้ทำงานอยู่ก็ได้ เพราะฉนั้นไม่ต้องมาจิ้มปิดเองตลอดเวลาก็ได้ครับ)
IMG_0889


โหมด Fullscreen ใหม่ใน Safari ทำงานเองไม่ต้องกดปุ่ม

Safari ใน iOS 6 เมื่อหมุนจอเป็นแนวนอนแล้ว จะมีปุ่มให้กดเข้าโหมด Fullscreen ใช่ไหมครับ แต่ Safari ใน iOS 7 นั้น เพียงแค่หมุนจอเป็นแนวนอน และเลื่อนหน้าเว็บลงมาซักเล็กน้อย แท็บต่างๆ ของ Safari ก็จะหายไปหมดเลยทันที สามารถดูหน้าเว็บได้เต็มจอเลยครับ ซึ่งปุ่มต่างๆ ก็มีความสำคัญน้อยลงเพราะเราสามารถ back กลับหน้าเว็บที่เปิดมาหน้าที่แล้วได้ด้วยการปัดนิ้วจากขอบจอด้านซ้ายได้เลย ครับ แต่ถ้าต้องการเปลี่ยนหน้าเว็บ ก็เพียงแค่เลื่อนหน้าเว็บขึ้นมาเล็กน้อย แท็บต่างๆ ก็จะกลับมาให้เรากดได้เหมือนเดิมครับ
IMG_0890


ปัดนิ้วจากขอบจอด้านซ้าย เพื่อย้อนกลับ

จากใน Safari ที่สามารถปัดจากขอบจอด้านซ้าย/ขวา เพื่อให้แทนการย้อนกลับ/ไปหน้าถัดไปในหน้าเว็บ ใน iOS 7 ยังสามารถใช้ความสามารถนี้ในแอพอื่นๆ ได้ด้วยครับ เช่นหน้า Setting ที่ลากนิ้วจากของจอด้านซ้ายเพื่อถอยหลังได้ และแอพอื่นๆ ใน App Store ก็กำลังปรับให้สามารถใช้การลากนิ้วนี้ได้เช่นกันครับ ยกตัวอย่างเช่นแอพ Facebook อันใหม่ที่รองรับความสามารถนี้แล้ว
IMG_0892


แอพกล้องสไลด์หน้าจอเพื่อเปลี่ยนโหมด

จากเดิมในแอพกล้อง การปัดหน้าจอแอพกล้องไปด้านข้าง จะเป็นการเข้าสู่ Camera Roll เพื่อดูรูปที่เราเคยถ่ายมา แต่ใน iOS 7 จะเปลี่ยนมาเป็นการปัดนิ้วเพื่อเปลี่ยนโหมดของการถ่ายรูปแทนครับ มีโหมดต่างๆ ให้เลือกระหว่าง ถ่ายภาพธรรมดา/วีดีโอ/ถ่ายภาพสี่เหลี่ยมจตุรัส/ถ่าย Panorama และถ้าใครใช้ iPhone 5s จะมีโหมดถ่ายวีดีโอแบบ slowmotion มาให้ด้วย
IMG_0893


Spotlight ไม่ได้หายไปไหน ลองเลื่อนหน้า home ลงมาสิ

ตั้งแต่ iOS 7 beta หลายคนมักจะถามว่า Spotlight ที่ไว้สำหรับค้นหาภายในเครื่องหายไปไหน จริงๆ  Spotlight ยังไม่ได้หายไปไหนครับ เพียงแต่ย้ายตำแหน่ง จากใน iOS เวอร์ชั่นก่อนๆ ที่จะอยู่หน้าซ้ายสุด ใน iOS 7 นั้น Spotlight จะอยู่ทุกหน้าของ homescreen เพียงแค่เลื่อน homescreen ลงมา ก็จะเห็นแถบค้นหาโผล่มาแล้วครับ ความสามารถต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม
IMG_0896


ไม่ต้องตั้ง Folder แอพแบบเดียวกันไว้หลายๆ Folder แล้ว

ใน iOS 6 หลายคนน่าจะเคยรวมเอาแอพประเภทเดียวกันไว้รวมกันใช่ไหมครับ อย่างเช่นรวมแอพถ่ายภาพเข้ามาไว้เป็นโฟลเดอร์เดียวกัน แต่ปัญหาคือบังเอิญเป็นคนชอบถ่ายรูปมากกกกก แอพถ่ายรูปเยอะมากกกก กลายเป็นต้องมี Folder แอพถ่ายรูปที่ 1, ที่ 2, ที่ 3 ไป เพราะว่า Folder สามารถจุแอพได้มากสุด 16 แอพเท่านั้น ดังนั้นใน iOS 7 จึงได้เพิ่มจำนวนของแอพที่อยู่ใน folder ขึ้นมาแล้วครับ โดยจะแสดงเป็นหน้า หน้าละ 9 แอพแทน ใส่ได้ถึง 14 หน้า หรือ 126 แอพต่อ folder เลยทีเดียว คราวนี้จะแอพเยอะแค่ไหนก็ไม่ต้องตั้ง folder ใหม่แล้ว
IMG_0897


แอพอัพเดทให้เอง ไม่ต้องกดอัพเดทบ่อยๆ แล้ว

ใน iOS 7 เพียงแค่ต่อกับ Wi-Fi ทิ้งไว้ แอพต่าๆ ที่อยู่ในเครื่องก็จะทำการอัพเดทให้เอง ไม่ต้องมาคอยเชคใน App Store บ่อยๆ แล้วครับว่ามีแอพอะไรอัพเดทบ้าง แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแอพไหนถูกอัพเดทแล้ว? สามารถดูได้โดยแอพที่มีการอัพเดท แต่ยังไม่เคยเปิดใช้เลยจะมีจุดกลมๆ อยู่หน้าชื่อแอพด้านใต้ไอค่อนครับ
IMG_0898

ถึงแม้ iOS จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่การใช้งานส่วนใหญ่ก็ยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ ที่เรารู้วิธีใช้อยู่แล้วครับ แล้วคราวหน้าเราจะมีอะไรมาฝาก อย่าลืมติดตามกันนะครับ

http://iphonesociety.com/tips/ios-7-changing

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

แก้ฮาร์ดดิสก์ Dynamic ให้กลับไปเป็น Basic โดยข้อมูลยังอยู่ครบถ้วน

ผู้ใช้งานบางท่านอาจพบปัญหาเมื่อติดตั้งฮาร์ดดิสก์เข้าไปใหม่ กลับไม่สามารถจัดการค่า Partition หรือลง Windows ลงไปใหม่ได้ หรือซ้ำร้ายก็คือไม่สามารถเข้าถึงไดร์ฟได้เลย ทั้งนี้พอเอาไปต่อกับคอมเครื่องอื่นแล้วเข้าไปดูรายละเอียด กลับพบว่า Harddisk มี System Partition เป็นแบบ Dynamic และไม่สามารถแก้ไขได้

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับ System Partition กันก่อนครับ

ในปัจจุบัน Windows มีรูปแบบการสร้าง System Partition อยู่ทั้งหมด 2 รูปแบบ นั่นคือ
1. Basic Disk ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป
2. Dynamic Disk ที่เหมาะสำหรับการใช้งานเฉพาะทาง เช่น การทำ SPAN, STRIP, MIRROR และ RAID
ซึ่งกรณีที่เราเผลอใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ Dynamic ไป ก็จะใช้งานได้เพียงแค่การเซฟข้อมูลเท่านั้น ไม่สามารถที่จะจัดการอื่นๆ ได้ เช่น การสร้าง-จัดการขนาดของ Partition หรือลง Windows ใหม่ได้ จะต้องทำการลบข้อมูลทั้งหมดเสียก่อนจึงจะสามารถ Convert กลายเป็น Basic Diskได้
และจะยิ่งเกิดปัญหามากขึ้น ถ้าด้านในเกิดมีข้อมูลจำนวนมากอยู่ด้วย เกิดวันดีคืนดีเราจำเป็นต้องแบ่ง Partition จากเนื้อที่ว่างบางส่วนมาลง Windows ด้วยแล้ว ก็จะไม่สามารถกระทำได้
ซึ่งวิธีการ Convert ที่จะแนะนำกันนี้ เราจะใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า EASEUS Partition Manager ซึ่งเป็นรุ่น Home Edition สามารถโหลดจากหหน้าเว็บไซต์ผู้ผลิตมาใช้งานได้ฟรีครับ
โหลดที่นี่    Download Program

วิธีการใช้งาน

1
 ให้ทำการ Download โปรแกรม EASEUS Partition Manager รุ่น Free Edition มาติดตั้งให้เรียบร้อย
2
 จากนั้นจึงทำการเปิดตัวโปรแกรมขึ้นมา และเลือกไปที่หัวข้อ Partition Manager
3
 จะปรากฎหน้าต่างใหม่ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับฮาร์ดดิสก์ภายในเครื่องของ เราขึ้นมา และเมื่อเราพบกับฮาร์ดดิสก์ที่เป็นแบบ Dynamic แล้ว ให้กดคลิกขวาที่ฮาร์ดดิสก์นั้น เพื่อเรียกเมนูคำสั่งออกมา แล้วเลือกหัวข้อ Convert to Basic Disk
4
จากนั้นจึงคลิกที่ปุ่ม Apply จะปรากฎหน้าต่างยืนยันขึ้นมา ก็ให้คลิก Yes
5
 โปรแกรมจะแจ้งว่าจะทำการรีสตาร์ทระบบเพื่อเริ่มทำงาน เมื่อพร้อมแล้วก็ให้คลิกตอบ Yes ได้เลยครับ
6
 ระบบจะรีสตาร์ทเครื่อง แล้วเริ่มทำการ Convert ครับ สำหรับระยะเวลของการ Convert จะขึ้นอยู่กับขนาดของฮาร์ดดิสก์ และขนาดของข้อมูลภายในด้วยครับ
7
 เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานแล้ว ระบบก็จะรีสตาร์ทตัวเองอีก 1 ครั้ง แล้วฮาร์ดดิสก์ลูกดังกล่าว ก็จะเปลี่ยน System Partition เป็น Basic พร้อมใช้งานในลำดับต่อไป โดยข้อมูลยังอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิมครับ
Credit : NEXT OF WINDOWS